ตำนานอาถรรพ์สยอง การสร้างสะพานไทยลาวทับถ้ำ “พญานาค” ที่ต้องสังเวยชีวิตไปนับไม่ถ้วน!

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของภาคตะวันเฉียงเหนือเลยก็ว่าได้ สำหรับ “สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2” ที่ เชื่อมต่อจังหวัดมุกดาหารของประเทศไทย เข้ากับแขวงสุวรรณเขตของประเทศลาว เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่สร้างความสะดวกสบายในการสัญจรไปมาระหว่างกันได้เลย โดยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2547
แต่เรื่องราวความหลอนก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน เมื่อระหว่างการก่อสร้างนั้นได้เกิดเรื่องสยองมากมาย จนกลายเป็นตำนานความเชื่อที่ชาวบ้านแถวนั้นร่ำลือถึง “ความอาถรรพ์” !!
โดยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 นี้ มีกระแสข่าวว่าจะสร้างนานแล้วก็จริง แต่เพิ่งจะลงตัวเรื่องพื้นที่ที่จะสร้าง เริ่มต้นสร้างจริงๆในปี 2543 และสะพานเปิดให้สาธารณะใช้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ในระหว่างก่อสร้างได้เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องเครนที่ทำให้ ที่ปรึกษา วิศวกรและคนงานเสียชีวิต 9 คน (ชาวไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และลาว) บาดเจ็บ 10 คน (ชาวไทย ญี่ปุ่น และลาว) และหายสาบสูญ 1 คน (ชาวลาว) เมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
และการเริ่มต้นก่อสร้างก็ได้พบว่า “มีลางร้ายทำลายขวัญคนงาน” จนใครก็ต้องขนหัวลุก “เมื่อมีคนไปผูกคอตายใน Office ที่เพิ่งสร้างใหม่ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มใช้ ” การผูกคอตายนี้ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด จนทำให้พนักงานที่จะต้องมาใช้ Office หวาดกลัวกันมาก จนทำให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบต้องตัดสินใจ สั่งทำการรื้อถอน Office ทั้งหมด แล้วเอาเหล็กกระเบื้องและวัสดุที่เกี่ยวกับการสร้าง Officeใหม่ แต่นำหลังนี้ไปบริจาคถวายให้กับวัดของกระผมแทน จากนั้นทางบริษัทผู้รับเหมา ก็ได้สั่งอุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามาใหม่ เพื่อสร้าง Office ในพื้นที่ตำแหน่งเดิม หลังจากนั้นอีก 4-5 เดือน
หลังจากนั้นก็มี “ลางร้ายครั้งที่ 2” อีกครั้ง “เมื่อคนงานก่อสร้างที่กำลังสร้างสะพานอยู่นั้น ได้ตกนั่งร้านตาย” และต่อมาไม่นานก็ได้เกิด “ลางร้ายครั้งที่ 3” เกิดการตายขึ้น “หลังคนงานที่ออกไปทำงานสร้างเสาที่กลางลำน้ำ รู้สึกร้อนอยากล้างหน้า จึงได้ก้มลงไปตักน้ำจากลำน้ำโขงมาล้างหน้า แต่ตกน้ำตายอีกคน” นับว่าเป็นเรื่องราวน่ากลัวชวนสยองไม่น้อย เพียงเริ่มต้นสร้างสะพานไม่นาน
แต่ความหลอนกลับไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อจู่ๆเหตุการณ์แปลกๆผิดสังเกตระหว่างการก่อสร้าง จนทำให้คนงานเริ่มเกิดความกลัว “เมื่อการสร้างเสาเข็มต้นที่ 11 ของสะพาน” ที่อยู่บริเวณกลางลำน้ำโขงมีปัญหามากกว่าจุดอื่น คือ “ตั้งแต่เริ่มทำการตอกเสาเข็มต้นนี้ ตอกยังไงก็ตอกไม่ลง” แม้ใช้สว่านนำร่องขุดเจาะก็เจาะไม่ลง จนทำให้วิศวกรกุมขมับต้องใช้ความพยายามทุกรูปแบบ เพื่อดันทุรังเจาะต่อให้ได้ จนหัวสว่านหัก วิศวกรจึงตัดสินไปจ้างนักประดาน้ำให้ดำลงไปดูเพื่อจะเอาหัวเจาะขึ้นมา
แต่ “นักประดาน้ำ” ที่ลงไปเอาหัวเจาะขึ้นมานั้นต้องตกใจสุดชีวิต ระหว่างที่เค้าได้ดำน้ำลงไปได้พบกับ “สิ่งสยอง” ที่เค้าไม่มีวันลืมเพราะเค้าได้ “เห็นดวงตาแดงก่ำเป็นคู่ๆอยู่เต็มใต้น้ำไปหมด ซึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่เค้า พอมองต่อไปก็เห็นลำตัวสีเขียวยาวลอยอยู่รอบๆบริเวณนั้น ” เค้าได้เห็นอย่างนั้นจึงรีบว่ายหนีขึ้นมาอย่างไม่คิดชีวิต พอขึ้นบกได้ ก็เก็บข้าวของกลับบ้านไปเลย เงินค่าจ้างก็ไม่ยอมรับเลยสักบาท
แต่ทางด้านของ “วิศวกรญี่ปุ่น” ไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงสั่งให้คนงานเอาปูนเทลงไปที่ตอม่อของเสาต้นนี้เลยเจาะได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น และความประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อเทปูนลงไปนั้นก็ตกใจอีกครั้ง “เมื่อเทปูนลงไปเท่าไหร่ก็เทไม่เต็มสักที ทำให้เสาต้นนี้ใช้ปูนเป็นจำนวนมากกว่าทุกต้น” จนในที่สุดก็เทเต็มจนได้
แต่การสร้างสะพานยังคงดำเนินไปท่ามกลางอุปสรรคและความสับสนของเหตุการณ์ประหลาด จนกระทั่งถึงวัน วิสาขบูชา ปี2548 ยามที่เฝ้าไซต์ก่อสร้างนี้ได้ฝันว่า มีคนใส่ชุดขาวมาบอกว่า “ในวันพรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษา ให้ยามช่วยไปบอกหัวหน้าด้วยว่าขอให้หยุดงานก่อน 1 วัน เพราะพวกเขาจะอธิษฐานเข้าพรรษากัน” แต่วิศวกรญี่ปุ่นไม่ยอมหยุดตามที่ขอ เพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2548 วันเข้าพรรษานี่เอง “วิศวกรชาวญี่ปุ่น 3 คน” ได้ลงเรือไปดูงานการวางคานของสะพานด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ไม่เคยลองนั่งเรือออกไปดูเลยตั้งแต่เริ่มสร้างมา และทันใดนั้นเองขณะคนงานกดสวิทช์ เครนก็ได้ยกแท่นปูนเพื่อนำไปวางบนหัวเสาต้นที่ 11 ต้นที่มีปัญหามากที่สุดแต่ยังไม่ทันวางถึงหัวเสาเลย เหตุการณ์อันเลวร้ายอย่างไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น “เครนได้พังถล่มหักออกเป็น 3 ท่อน คานยกแท่นปูนและ Sling ได้เหวี่ยงฟาดตัดร่างวิศวกรคุมงานชาวญี่ปุ่นวัย 45 ปี ขาดออกเป็น 2 ท่อนตายทันที และเครนที่หักตกลงกลางสายน้ำนั้นได้ตกลงกระแทกทับวิศวกรบนเรือ 3 คน จมดิ่งสาบสูญไปในลำน้ำทันที ”
จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนจมลงไปในน้ำแล้วหาศพไม่พบรวมทั้งหมด 8 คน เป็นวิศวกรใหญ่ชาวญี่ปุ่น 3 คนที่นั่งเรือออกมาดูงานดังกล่าว เป็นชาวฟิลิปปินส์ 1 คน และคนงานไทยอีก 4 คน นอกนั้นบาดเจ็บเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก 7 คน ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในช่วงวันเข้าพรรษา 22-23 กรกฎาคม พ.ศ.2548 หลังจากนั้นบริษัทผู้รับเหมาทุกบริษัทที่เข้ารับงานสร้างสะพาน พากันหยุดงานเพื่อทำบุญ ” แต่ไม่นานต่อมาในวันที่ 19 สิงหาคม 2548 เวลาประมาณบ่าย4-5 โมงเย็น ได้มีการบวชกันแบบเงียบๆ โดยคนงาน 8-9 คน พากันบวชแก้บนกัน 7 วัน ”
นอกจากนั้นยังเรื่องราวชวนขนหัวลุกอีกเรื่อง คือ “มีชาวบ้าน มองเห็นเรือพายธรรมดาๆลำเล็กๆ ลอยอยู่ไม่ห่างจากริมฝั่งเท่าไหร่นัก เป็นเรือร้างที่ไม่มีคนอยู่ เลยคิดอยากได้เอาไว้ใช้งาน จึงได้ชวนญาติพายเรือออกไปเอา แต่เมื่อพายเข้าไปใกล้ๆ เหลืออีกเพียง 10 เมตรจะถึงตัวเรือแล้ว ทันใดนั้น ทุกคนที่มาในเรือ ต่างตกตะลึงแทบช็อค เพราะอยู่ๆ เรือลำดังกล่าว ได้ขยายใหญ่ สูงขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า จึงได้แต่ตาลีตาเหลือกรีบกลับลำแจวเรือหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต”
และยังเรื่องเล่ากันว่า “ตรงบริเวณใกล้กับบริเวณที่กำลังสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 นี้ เคยมีคนเห็นตัวอะไรไม่ทราบ ว่ายข้ามลำน้ำ โดยโผล่ส่วนที่พ้นน้ำมีลักษณะคล้ายครีบหลังของปลาว่ายลอยทวนกระแสน้ำ โดยเริ่มต้นว่ายทวนกระแสน้ำจากฝั่งลาวมายังฝั่งไทย ว่ายมายังปากน้ำห้วย หรือบริเวณที่เรียกว่า ห้วยบ้านทราย พอวิ่ง เข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าว่ายหายไป”
จากเหตุการณ์อาถรรพ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมีการสร้างสะพานแห่งนี้นั้น ” ได้สังเวยชีวิตของคนงานที่นี่ไปทั้งหมด 17 ชีวิตแล้ว” จึงทำให้คนงานที่เป็นคนไทยอีสานและคนงานลาว พาหยุดงานไม่ยอมสร้างสะพานต่อกันเลยเพราะกลัวตาย แต่ก็เหลือคนงานชาวต่างชาติและคนที่ไม่เชื่อยังทำการก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างยังพอขับเคลื่อนไปได้ แต่ถึงกระนั้นเสาเข็มต้นที่ 11 นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่มีใครไปแตะต้อง หรือทำการสร้างต่อเลย ได้แต่ดำเนินการสร้างส่วนอื่นไปก่อน

หลังจากนั้นข่าวนี้ได้ทำให้ชาวบ้านบางกลุ่ม ได้ไปหาเจ้าหน้าที่อากรจังหวัด ซึ่งท่านก็ได้ไปหาร่างทรง ร่างทรงบอกว่าให้ “ตั้งศาลพญานาค” ใกล้บริเวณที่ก่อสร้าง เพื่อจะได้อัญเชิญพญานาคขึ้นมา แล้วจะได้ทำการสร้างสะพานต่อได้ แล้วร่างทรงยังบอกต่ออีกว่า “พญานาคท่านจะให้พระสุกขึ้นมาด้วย” พระสุก ที่เป็นพระพุทธรูปประจำตัวของธิดาพญานาคที่เก็บรักษาไว้ใต้บาดาล และเรื่องราวนี้ได้มาประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ “ชาวประมงคนหนึ่งในย่านนั้นได้ออกเรือหาปลา แล้วลากที่ดักปลาขึ้นมาเจอพระพุทธรูปทองสำริด” ขนาดหน้าตัก 35 เซนติเมตร สูง 70 เซนติเมตร เป็นศิลปะแบบเวียงจันทน์ ซึ่งต่างสันนิฐานว่าคือ “พระสุก” และขณะนี้ก็กำลังทำการพิสูจน์อยู่ว่าจริงหรือไม่?
จากนั้นข่าวการที่จะสร้างศาลพญานาคนี้ได้แพร่สะพัดออกไป ทำให้ก็มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างศาลนี้ เพราะไม่รู้ว่าพญานาคจะพอใจหรือไม่ ซึ่งหากพญานาคไม่พอใจพวกเขาอาจจะต้องมีอันเป็นไป จึงคิดต่อต้านการสร้างศาลแห่งนี้ แต่พิธีอัญเชิญเทพาอารักษ์ เทพนาคา เทพนาคี ผู้รักษาแม่น้ำโขง เพื่อรับเครื่องสังเวย ณ บริเวณศาลพญานาค ใต้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 มุกดาหาร-สะหวันนะเขต เกิดขึ้นเมื่อวันที่ วันที่ 9 มิถุนายน 2553 ตามความเชื่อ
จากเรื่องราวความสยองตั้งแต่เริ่มต้นการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว2นี้ กลายเป็นเรื่องเล่าขานกันจนมาถึงปัจจุบัน และจากเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเชื่อว่าเป็น “เพราะสร้างสะพานทับถ้ำของพญานาค ” จึงทำให้เกิดอาถรรพ์อาเพสมากมาย แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หรืออาจจะเป็นเพียงการผิดพลาดทางธรรมชาติรวมไปถึงวิศวกรอาจจะคาดเดา แต่ก็อยากที่เชื่อได้ว่าหลายเรื่องที่เกิดขึ้นมันเหนือธรรมชาติมากไป ถ้าไม่ใช่ “สิ่งเร้นลับ” ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้

ความคิดเห็น