อันตราย!!!กับการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ


เพราะทุกวันนี้ ครอบครัวส่วนใหญ่มีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามา และบวกกับการต้องหาเลี้ยงปากท้องกัน เลยฝากลูกน้อยไว้กับโทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ตให้ลูกเล่น เพราะลูกจะนอนดูนิ่งไม่มากวนใจ พ่อแม่จะได้ทำอะไรสะดวกมากขึ้น

1.สมาธิลูกจะสั้น
เนื่องจากภาพที่เห็นในโทรศัพท์หรือแท็ปเล็จะมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
เป็นจุดที่จะดึงดูดให้เด็กสนใจได้ตลอดเวลา
แต่ในทางกลับกัน หากเด็กต้องทำกิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากนี้
เด็กจะไม่สามารถจดจ่อหรือมีสมาธิในกิจกรรมนั้นได้นาน
หรือที่เรียกว่า “สมาธิสั้น” นั่นเอง

2.สายตาลูกจะเสีย
การที่เด็กใช้สายตาจ้องมองหน้าจอเป็นเวลานานๆ
ทั้งจากแสงที่จ้าของหน้าจอ
ทำให้สายตาของเด็กจะมีอาการล้า พร่ามัว
บางครั้งก็อาจจะอักเสบได้
และโดยเฉพาะหากดูในบริเวณที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอแล้ว
ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสายตาแน่นอน
และมีโอกาสสูงที่จะสายตาสั้นได้ค่ะ


3.ลูกจะกร้าวร้าว
เด็กอาจเห็นภาพการใช้ความรุนแรงผ่านสื่อบนอุปกรณ์มือถือหรือแท็ปเล็ต เช่น เกมส์ หรือภาพยนตร์ที่มีความรุนแรง มีผลให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว เอาแตใจ และถ้าหากถูกห้ามไม่ให้เล่นก็มักจะหงุดหงิด ไม่พอใจไม่ยอมรับเหตุผลและอาจมีพฤติกรรมโต้เถียงคุณพ่อคุณแม่ได้นะคะ

4.พัฒนาการลูกจะช้ากว่าคนอื่น
มีตัวอย่างมากมายรวมถึงงานวิจัยต่างๆว่าในช่วงเด็กทารกถึงวัย 2 ขวบ
สมองของเด็กจะมีการมีการพัฒนาเติบโตขึ้นเป็น 3 เท่า
ซึ่งสิ่งแวดล้อมต่างๆนี่เองจะเป็นตัวกระตุ้นให้สมองมีการพัฒนา
หากเด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากๆ ศักยภาพในการเติบโตของสมองจะถูกบั่นทอนลงอย่างมาก
ทำให้เด็กเรียนรู้ได้ช้าลง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน

5.ลูกจะกลายเป็นเด็กใจร้อน
การที่โทรศัพท์หรือแท็ปเล็ทสามารถตอบสนองได้ไว
การเปลี่ยนภาพต่างๆเด็กจะทำได้เพียงใช้นิ้วจิ้มหรือปัด
ส่งผลให้เด็กติดอาการที่ต้องการๆตอบสนองที่รวดเร็ว
ไม่รู้จักการรอคอย เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้นและกลายเป็นคนใจร้อนได้ง่ายเลยค่

6.ร่างกายลูกจะไม่แข็งแรง

การที่เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเล่นโทรศัพท์หรือแท็ปเล็
โดยนั่งนิ่งๆไม่ได้ขยับร่างกาย
ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่างๆ
ไม่มีการการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆตามวัยที่ควรจะเป็
นอกจากจะทำให้ร่างกายอ่อนแอแล้ว
ยังมีผลต่อการเรียนรู้และการอ่านออกเขียนได้
ซึ่งเด็กในวัยนี้จำเป็นที่จะต้องได้เล่น
ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสอ


7.ลูกจะเข้ากับเพื่อนได้ยาก
เนื่องจากเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอ
จึงขาดการเรียนรู้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นจึงปรับตัวยาก

8.ลูกจะเป็นเด็กอ้วนได้ง่ายกว่าคนอื่น
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่มักจะเตรียมอาหารหรือขนมเอาไว้ใกล้ๆเด็ก
ในขณะที่เด็กนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือหรือแท็ปเล็ต
เมื่อเด็กมีการเคลื่อนไหวน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย
จึงกลายเป็นเด็กอ้วนได้ง่าย ทำให้เกิดโรคอื่นๆตามมา

9.ลูกจะไม่สนใจสิ่งรอบกาย
เนื่องจากเด็กจะจดจ่ออยู่กับหน้าจอเป็นเวลานานๆ
มักจะไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นใด ไม่สนใจที่จะเรียนรู้สิ่งรอบๆตัว อยู่ในโลกที่ตัวเองต้องการเท่านั้น

10.ลูกจะขาดระเบียบวินัยได้
เมื่อเด็กอยู่ในอาการติดหน้าจอแล้วจะไม่ยอมทำอะไรเลย
เอาแต่จดจ่ออยู่ว่าเมื่อไรจะได้เล่น
ยิ่งหากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้เด็กมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอะไร
ต้องทำอะไรบ้าง เด็กจะทำทุกอย่างตามใจตนเอง
หากไม่แก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ภายหลังจะแก้ได้ยาก

11.ลูกอาจเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดีบนสื่อได้
เด็กๆยังไม่สามารถที่จะแยกแยะว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี
ซึ่งเด็กในวัยมักจะเลียนแบบคนที่ใกล้ชิด
หรือสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินอยู่บ่อยๆ
ที่เรามักจะเห็นเด็กๆเลียนแบบตัวการ์ตูนต่างๆ
มีการต่อสู้ การทำร้ายกัน
ทำให้เป็นคนก้าวร้าว
หากผู้ใหญ่ไม่ควบคุมดูแล ลักษณะนิสัยแบบนี้จะติดตัวเด็กไปอย่างถาวร

12.แสงจากสมาร์ทโฟนอาจมีผลต่อสมองลูกได้

รังสีที่แผ่ออกมาจากอุปกรณ์จำพวกสมาร์ทโฟนเหล่านี้จะมีผลเสียโดยตรงต่อสมองก็ตาม
แต่ก็มีตัวอย่างมากมายที่มีผลต่อเด็กที่อยู่ในปัจจัยเสี่ยงเช่นนี้
เด็กจะมีอาการปวดศีรษะอยู่บ่อยๆ หรือหากร้ายแรงอาจจะเกิดเนื้องอกในสมอง
และหากร้ายแรงอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งได้
ซึ่งหากพิจารณาจากร่างกายของเด็กแล้ว 
กระโหลกศีรษะของเด็กยังมีความบางอยู่
ยังไม่มีความหนามากพอที่จะปิดกั้นรังสีเหล่านี้ได้
ทางที่ดีควรจะหลีกเลี่ยงไว้ก่อนค่ะ

13.ลูกอาจนอนฝันร้ายได้
โดยเฉพาะเด็กเล็กๆจะมีอาการฝันร้าย ร้องงอแงกลางดึกได้บ่อย
เพราะเด็กจะเก็บเอาภาพต่างๆที่ได้รับมาทั้งวันไปฝัน
เมื่อมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ เด็กจะพักผ่อนได้ไม่พอ
ซึ่งการนอนหลับที่สนิทและได้เวลาที่เพียงพอ จะเป็นช่วงเวลาที่
ฮอร์โมนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตจะถูกสร้างและหลั่งออกมา
หากการนอนถูกขัดจังหวะด้วยฝันร้ายบ่อยๆ
จะส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของเด็กได้เลยค่ะ

14.ลูกจะขาดความอบอุ่น
การที่ปล่อยให้เด็กมีเพื่อนเป็นมือถือหรือแท็ปเล็ตอยู่เสมอ
ความใกล้ชิดหรือสนิทสนมระหว่างคุณพ่อคุณแม่ก็จะน้อย
แม้บางครั้งจะอยู่ด้วยกันก็ตาม แต่คุณพ่อคุณแม่ทำงานอยู่ทางหนึ่ง
ลูกก็อยู่อีกมุมหนึ่ง ไม่ได้มีกิจกรรมร่วมกันทำให้เกิดความห่างเหิน
โดยเฉพาะเด็กเล็กๆที่ยังอยู่ในวัยที่ต้องการความรัก ความอบอุ่นจากพ่อและแม่
การได้อยู่ใกล้ชิด ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เด็กจะมีการพัฒนาการที่ดี
ซึ่งพื้นฐานก็มาจากความรักและความอบอุ่นที่มาจากครอบครัวนั่นเอง




ความคิดเห็น